5 นักล่าจากยุคดึกดําบรรพ์ ที่จะทำให้คุณขนลุก

ถึงการสูญพันธุ์ของสัตว์หลายๆ ชนิดในโลกดึกดำบรรพ์จะเป็นเรื่องน่าเสียดายสำหรับใครหลายคน แต่ท่ามกลางบรรดาสัตว์ร่างยักษ์ หน้าตาแปลกๆ ที่เราไม่มีโอกาสไดเห็นตัวจริงของมันนั้น ยังมีนักล่าส่วนหนึ่งที่เคยท่องไปทั่วโลกและสูญหายไปกับกาลเวลา และต่อใหคุณรู้สึกเสียดายกับการสูญหายไปของพวกมันมากแค่ไหน แต่นี่คือ 5 นักล่าจากยุคดึกดําบรรพ์ ที่จะทำให้คุณขนลุก

#1 Entelodon

ลืมหมูป่าโลกใหม่ที่กินพืชเป็นหลัก และแกล้มเนื้อสัตว์เป็นรองไปได้เลย เพราะนี่คือหมูยักษ์ที่เกิดมาเพื่อกินเนื้อและแทะซากสัตว์โดยเฉพาะ

ซึ่งจากหลักฐานฟอสซิลของมัน นักบรรพชีวินวิทยาเชื่อว่าพวกมันเป็นนักล่าที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งกระดูกขาที่ออกแบบมาให้สามารถวิ่งไล่กวดเหยื่อได้อย่างรวดเร็ว

มันมีกรามและฟันที่สามารถเจาะทะลุกะโหลก และยังสามารถเข้าถึงแหล่งอาหารที่สัตว์ยุคโบราณเข้าไม่ถึง นั่นคือการกินไขสันหลังจากซากสัตว์ ซึ่งทำให้พวกมันสามารถอยู่รอดได้นานกว่านักล่าประเภทอื่น

สาเหตุการสูญพันธุ์

ถึงจะเรียกว่าเป็นนักล่าที่สมบูรณ์แบบ แต่โลกของวิวัฒนาการมักโหดร้ายเสมอ เพราะในขณะที่สัตว์อื่นพยายามปรับตัวและขนาดตามโลกที่มีทรัพยากรลดลง Entelodon กลับขยายร่างให้มีขนาดใหญ่ขึ้น และเริ่มปรับเปลี่ยนชีวิตเป็นสัตว์กินซากร่างใหญ่ นั่นทำให้ศักยภาพในการล่าของมันหายไป แถมยังทำให้พวกมันไม่สามารถแข่งขันกับนักล่าชนิดใหม่อย่าง Amphicyon หรือ หมีหมา ที่ย้ายถิ่นฐานจากเอเชียเข้ามาในอเมริกาเหนือในยุคที่สะพานแผ่นดินได้เชื่อม 2 ทวีปไว้ด้วยกัน

#2 Phorusrhacids

ถึงจะบินไม่ได้แต่ด้วยขนาดที่สูงกว่า 3 เมตร และวิ่งได้เร็วพอๆ กับเสือชีตาห์ แถมยังอึดกว่าหลายเท่า ทำให้นกยักษ์จากทุ่งหญ้าในอเมริกาเหนือที่นักบรรพชีวินวิทยาให้ชื่อเล่นว่า Terror bird กลายเป็นนักล่าที่สามารถสังหารสัตว์กินพืชด้วยการจิกที่สามารถทะลุถึงกะโหลก และกรงเล็บแหลมคมที่ติดอยู่กับเท้าอันทรงพลังที่สามารถฉีกร่างของเหยื่อ และเตะสังหารนักกินซากรายอื่นได้

ขนาดของมันเมื่อเทียบกับมนุษย์

สาเหตุการสูญพันธุ์

ชะตากรรมของ Terror bird นั้นไม่สวยงามอย่างที่หลายๆ คนคิด เพราะตำแหน่งนักล่าสูงสุดของมันถูกแทนที่ด้วยฝูงแมวใหญ่อย่าง Smilodon Fatalis หรือที่เรียกว่าเสือเขี้ยวดาบที่ใหญ่ที่สุดในสัตว์ตระกูลนี้ แถมไข่ของพวกมันยังถูกทำลายจากสัตว์กินเนื้อขนาดเล็ก และสัตว์ฟันแทะอีกด้วย

#3 Anomalocaris Canadensis

ในทะเลโบราณยุคแรกเริ่ม มันคือนักล่าตัวแรกๆ ที่ทำให้วัฒนาการของสิ่งมีชีวิตในมหาสมุทรเร่งกระบวนการขึ้นอย่างก้าวกระโดด ไม่ว่าจะทั้งการสร้างเปลือกที่แข็งขึ้นนี้ และมีอุปกรณ์โต้ตอบนักล่ามากขึ้น ซึ่งทั้งหมดนั้นก็เพื่อรับมือกับสัตว์รูปร่างคล้ายกุ้งที่มีความยาว 1 เมตร มาพร้อมปากแบบง่ายๆ ที่เต็มไปด้วยฟันฟันแหลมคม

แถมยังมีก้ามรูปแบบง่ายๆ ที่ใช้จับเหยื่อ ซึ่งจากการศึกษาซากฟอสซิลทั้งที่สมบูรณ์แบบและแตกหัก นักบรรพชีวินวิทยาเชื่อว่า พวกมันเป็นฝันร้ายใต้น้ำน้ำขนานแท้ ถ้าให้เลือกระหว่างการลงไปว่ายน้ำในสระที่มี Anomalocaris กับฉลามขาว พวกเขามั่นใจว่าจะมีโอกาสรอดตายในสระที่มีฉลามขาวมากกว่า

สาเหตุการสูญพันธุ์

อย่างที่เราทราบกันดีว่าโลกมีการปรับตัวหลายต่อหลายครั้งกว่าจะเข้าที่เข้าทาง บวกกับการปรับตัวเพื่อการตัวรอดจากปากของ Anomalocaris แถมมีบางชนิดที่เปลี่ยนตัวเองเป็นนักล่าซะเอง นั่นทำให้ทะเลยุคนั้นเริ่มไม่ใช่บ้านของสัตว์ที่วิวัฒนาการมาจนถึงที่สุดแล้วอย่างมันอีกต่อไป

#4 Basilosaurus

ถึงจะเป็นบรรพบุรุษของวาฬและโลมาในปัจจุบัน แต่พวกมันกลับไม่มีความน่ารักหรืออ่อนโยนเหมือนลูกหลานยุคใหม่เลยแม้แต่น้อย เหยื่อของพวกมันคือฉลามขาว

ขนาดเมื่อเปรียบเทียบกับมนุษย์

เพราะด้วยขนาดที่ใหญ่ได้ถึง 80 ฟุต มันคือฝันร้ายของทุกชีวิตที่คิดจะลงไปในทะเลยุคโบราณ ที่อาจต้องเป็นเหยื่อสังเวยความหิวและท้องขนาดมหึมาของวาฬโบราณชนิดนี้

สาเหตุการสูญพันธุ์

ในขณะที่ญาติๆ ของ Basilosaurus ปรับตัวจากนักล่าเป็นสัตว์ที่กินแพลงก์ตอน ตัวมันเองกลับไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายแม้แต่น้อย และด้วยความที่เป็นนักล่าที่ต้องการพลังงานมหาศาล ทะเลมีความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา จึงไม่เพียงพอที่จะรองรับพวกมันได้อีกต่อไป

#5 Megalania prisca

ลืมมังกรโคโมโดที่มีความยาว 3 เมตรไปได้เลย เพราะนั่นเทียบไม่ได้กับ Megalania ที่มีความยาวหัวจรดหาง 9 เมตร แถมติดอาวุธอันตรายมากมายทั่วตัว

มันมีทั้งเกล็ดที่แข็งเป็นเกราะ ฟันที่คมเหมือนมีดตัดเนื้อ และยังมีนน้ำลายพิษเหมือนมังกรโคโมโด แต่ลำพังแค่การกัดของมันก็มากพอที่จะทำให้สัตว์บนทวีปออสเตรเลียอกสั่นขวัญขวัญเสียได้แล้ว

ขนาดเมื่อเปรียบเทียบกับมนุษย์

สาเหตุการสูญพันธุ์

Megalania เพิ่งจะสูญหายจากโลกนี้ไปเพียง 40,000 ปีเท่านั้น เพราะด้วยขนาดที่ใหญ่เกินไปสำหรับโลกที่มีทรัพยากรลดลง รวมทั้งเหยื่อได้ปรับขนาดเล็กลง

แถมยังเผชิญกับยุคน้ำแข็งในช่วงของยุคสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ทำให้สัตว์เลื้อยคลานเลือดเย็นอย่างมันไม่สามารถเอาตัวรอดได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีหลายแนวคิดที่เชื่อว่า พวกมันยังไม่หายไปหมดซะทีเดียว เพราะอาจจะยังมีบางส่วนที่เหลือรอดจากการล่าของชนพื้นเมืองและหลบซ่อนอยู่ที่ใดที่หนึ่งเป็นได้