Challenger Deep จุดที่ลึกที่สุดของโลก มีมนุษย์เพียง 3 คนเท่านั้นที่เคยไปถึง

นับแต่อดีตมนุษย์ต่างใฝ่หาความลับจากมหาสมุทร ซึ่งทั้งกว้างใหญ่ อันตราย และลึกลับ ความอยากรู้เร่งให้มนุษย์พัฒนาวิทยาการเพื่อค้นหาคำตอบว่า มีอะไรซ่อนอยู่ในห้วงน้ำลึกบ้าง

โดยเฉพาะร่องน้ำลึกมาเรียนา (Mariana Trench) ร่องน้ำลึกที่ลึกที่สุดของโลก เจ้าของสมญาแดนมรณะ Mariana Trence ตั้งอยู่ที่มหาสมุทรแปซิฟิค ใกล้กับญี่ปุ่น

ร่องน้ำลึกมาเรียนา ตั้งอยู่บนพื้นมหาสมุทรแปซิฟิก ใกล้กับญี่ปุ่น เป็นบริเวณที่แผ่นเปลือกโลกสองแผ่นชนกัน โดยแผ่นแปซิฟิกมุดลงใต้แผ่นมาเรียนา

จุดที่ลึกที่สุดของร่องนี้ ชื่อว่า ชาเลนเจอร์ดีป (Challenger Deep) ซึ่งมีความลึก 10,971 เมตร (ตัวเลขความลึกจากหลายๆ แหล่งจะไม่เท่ากันแต่จะไม่ผิดไปจากนี้มากนัก)

ถ้านึกภาพไม่ออกให้ลองจินตนาการภาพเขาเอเวอเรสต์ถูกน้ำท่วมอีกสองกิโลเมตรนั่นแหละ คือ ความลึกของชาเลนเจอร์ดีป (ภาพเปรียบเทียบให้เห็นกันชัดๆ ระหว่างร่องน้ำลึกมาเรียนากับภูเขาเอเวอเรสต์)

แม้จะลึกมากและมีอุณหภูมิต่ำอีกทั้งยังมีความกดดันสูงถึง 1,086 บาร์ (มากกว่าบรรยากาศทั่วไปถึง 1,000 เท่า) เรียกได้ว่าเป็นสถานที่น่าสะพรึง แต่ก็ไม่อาจหยุดความอยากรู้ของนักสำรวจได้

หลังจากพัฒนายานสำรวจใต้น้ำสำเร็จ จนถึงปัจจุบันนี้มีมนุษย์แค่ 3 คนเท่านั้นที่เคยไปถึงจุดที่ลึกที่สุดของโลก ทีมสำรวจทีมแรก คือ ดอน วอลช์ จากอิตาลี และ ฌาคส์ ปิคคาร์ด จากเยอรมนี ได้ลงสู่ร่องน้ำลึกมาเรียนา เมื่อปี 1960 และได้ทำสถิติดำดิ่งลึกที่สุดไว้ โดยลงไปลึกถึง 10,916 เมตร

หลังจากนั้นกว่าครึ่งศตวรรษจึงมีการสำรวจอีกครั้งเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2012 ผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดัง เจมส์ คาเมรอน (Terminator, The Abyss, Titanic, Avatar) ได้ร่วมมือกับเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก ลุยเดี่ยวลงไปที่ชาเลนเจอร์ดีป โดยเขาใช้เรือดำน้ำทันสมัยชื่อ Deepsea Challenger เป็นพาหนะดำลงไป

ทั้งนี้ วัตถุประสงค์ก็เพื่อประโยชน์ในการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ รวมทั้งได้ถ่ายภาพนิ่ง และภาพเคลื่อนไหวจำนวนมากกลับไปด้วย

เรือซึ่งยาว 7.3 เมตร สามารถจุคนได้เพียงคนเดียวลำนี้ใช้เวลาสร้างในออสเตรเลียนานเกือบแปดปี ตัวเรือติดตั้งไฟส่องสว่างขนาดใหญ่ กล้องถ่ายภาพใต้น้ำหลายกล้องและแขนกลแบบหุ่นยนต์หนึ่งแขน สำหรับตักตัวอย่างดินและสัตว์ตัวเล็กๆ ที่อยู่ตามพื้น

Deepsea Challenger สามารถทนแรงกดได้ถึง 16,000 ปอนด์/ตร.นิ้ว มันยังต่างจากเรือดำน้ำลึกอื่นๆ ทั้งหมดที่ดำลงไปในแนวตั้งตลอด เช่นเดียวกับเวลาที่กลับขึ้นสู่ผิวน้ำ การออกแบบและการสร้างต้องรัดกุมห้ามเกิดข้อผิดพลาด เพราะมันหมายถึงชีวิตของเขาเองที่อาจต้องทิ้งไว้ใต้บาดาลนั่น

เจมส์ คาเมรอน ใช้เวลาในการดำดิ่งลงไปประมาณสองชั่วโมง

เขาเล่าถึงความรู้สึกขณะอยู่ในเรือที่ต้องงอขาตลอดเวลาและยื่นแขนออกไม่ได้ว่า เวลาที่ยังอยู่บนผิวน้ำรู้สึกร้อนจัดเหมือนกับอยู่ในห้องเซาน่า แต่เมื่อดำลึกลงไปเรื่อยๆ ก็รู้สึกเย็นมากขึ้นๆ ราวกับอยู่ในตู้แช่ เช่นเดียวกับแสงสว่างที่ค่อยๆ ลดลงตามความลึกที่ดำลงไป จนมืดสนิทเมื่อผ่านความลึกที่ 3,300 ฟุตลงไป

ในที่สุดเขาก็ถึงก้นทะเล ความลึกที่ได้บันทึกเอาไว้คือ 10,908 เมตร

เจมส์ คาเมรอน ได้ให้สัมภาษณ์ว่า จุดที่ลึกที่สุดของโลกนั้นเหมือนอีกโลกหนึ่ง และไม่มีความอุดมสมบูรณ์ใดๆ แต่ก็ยังมีสิ่งมีชีวิตในที่แห่งนี้

ทีมของคาเมรอนยังได้พบอะมีบายักษ์และสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กคล้ายกุ้งที่เรียกว่าแอมฟิพอดส์ (amphipods)

รวมถึงสิ่งมีชีวิตจำพวกจุลินทรีย์จำนวนมาก และเขาไม่ได้ลงไปเพื่อการสร้างสถิติแต่อย่างใด แต่เป็นความฝันและความอยากรู้แบบที่เกิดกับนักวิทยาศาสตร์ที่ต้องการรู้ต้องการเห็นบางสิ่งบางอย่าง เขาหวังว่าสิ่งที่เขาได้จากการลงไปสำรวจของเขาจะเป็นประโยชน์ต่อความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ก่อนที่มนุษย์จะทำลายมันไป

หมายเหตุ – ปี 2019 วิกเตอร์ เวสโคโว (Victor Vescovo) นักธุรกิจและนักสำรวจชาวอเมริกัน ประกาศว่าเขาคือมนุษย์คนที่ 4 ที่สามารถลงไปถึง แชลเลนเจอร์ ดีป ได้สำเร็จ แล้วยังอ้างว่าเขาทำลายสถิติโลกอีกด้วย (ความลึก 10,927 เมตร) แต่คำกล่าวอ้างของเวสโคโวไม่ได้รับการพิสูจน์และยืนยันอย่างเป็นทางการ