“ฮอลเดน” คุกที่สบายที่สุดในโลก บรรยากาศเหมือน “บ้านพักตากอากาศสุดหรู” (นี่คุกจริงดิ)

หากพูดถึงคุก พวกเราคงนึกถึงภาพคุกที่ทั้งแออัด เหม็น และสกปรกโสโครก ชนิดที่ว่าแค่คิดก็อยากจะอ้วกออกมาแล้ว แต่นั่นคือภาพในหัวของเราที่สะสมมานาน ไม่ใช่สำหรับประเทศนอร์เวย์ ประเทศที่ได้ชื่อว่ามีคุกที่หรูที่สุดในโลก

นี่คือ “คุกฮอลเดน” เป็นคุกที่ใหม่และหรูที่สุดในโลก ตั้งอยู่ที่เมืองฮอลเดน ประเทศนอร์เวย์ รองรับผู้ต้องขังได้ 250 คน

นักโทษคดีร้ายแรงทั้งนั้น

นักโทษที่ถูกส่งตัวมาที่นี่กว่าครึ่งมีความผิดในคดีอาชญากรรมร้ายแรง ทั้งฆาตกรรม ทำร้ายร่างกาย และข่มขืน ขณะที่อีกหนึ่งในสามมีความผิดฐานค้า และลอบนำเข้ายาเสพติด เรียกได้ว่าเป็นคุกรวมพวกหัวโจกวายร้ายก็ว่าได้

แต่ฮอลเดนก็มีความมุ่งมั่นอันแรงกล้า ที่จะเปลี่ยนคนเหล่านี้ให้กลับเป็นประชากรที่มีคุณภาพคืนสู่สังคม

“คุกฮอลเดน” คุกที่ว่ากันว่าสบายที่สุดในโลก

คุกฮอลเดนปลูกสร้างขึ้นกลางป่า โดยสถาปนิกตั้งใจออกแบบให้ยังรักษาสภาพพื้นที่ตามธรรมชาติเอาไว้ภายในอาณาบริเวณเรือนจำ แน่นอนว่าป่าที่อยู่รอบข้างช่างอำนวยต่อการหลบหนีและซ่อนตัว แต่ก็ไม่มีนักโทษคนไหนทำเช่นนั้น (ดูจากสภาพแล้วอยู่ในคุกก็ไม่ต่างกับอยู่บ้านเท่าไหร่นะ)

ภายในห้องขังของนักโทษมีเตียง ตู้เย็น ชั้นหนังสือ โทรทัศน์ โต๊ะ เก้าอี้ แถมยังมีห้องน้ำส่วนตัวให้อีกต่างหาก

มีอาคารกลางที่มีร้านค้าที่นักโทษสามารถซื้อข้าวของเครื่องใช้ได้

ซื้อของสดมาทำอาหารกินเองก็ยังได้

นอกจากนี้ก็ยังมีห้องดนตรี ห้องสวดมนต์ ห้องออกกำลังกาย ห้องสมุด ห้องคอมพิวเตอร์ และอีกมากมาย เป็นตัวเลือกหลากหลายให้นักโทษได้พักผ่อนหย่อนใจ

ผู้คุมใจดีและวางตัวเป็นกันเอง

ส่วนผู้คุมก็ไม่ได้โหดเหี้ยมเหมือนอย่างที่เคยเห็นในหนัง กลับกันผู้คุมที่ “คุกฮอลเดน” วางตัวเป็นกันเองกับนักโทษ และยังทำกิจกรรมหลายๆ อย่างร่วมกับนักโทษด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะนั่งกินข้าวด้วยกัน จิบกาแฟ หรือแม้แต่เล่นวอลเลย์บอล

แนวคิดของ “คุกฮอลเดน”

สำหรับแนวคิดของ “คุกฮอลเดน” ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่สร้างมาเพื่อดัดนิสัย แต่เป็นการสร้างเสริมแรงจูงใจทางบวกต่างหาก เพราะเชื่อว่า การช่วยหาที่อยู่อาศัยที่เหมาะสม และอาชีพที่ให้รายได้เพียงพอต่อการยังชีพแก่นักโทษที่กำลังจะถูกปล่อยตัวออกไป จะช่วยลดอัตราการทำผิดซ้ำซากได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

สถิติไม่เคยหลอกใคร

นอร์เวย์มีผู้พ้นโทษกลับไปกระทำผิดซ้ำเพียง 20% ซึ่งนับว่าต่ำอันดับต้นๆ ของโลก ในขณะที่สถิติส่วนนี้ของสหราชอาณาจักรมีสูงถึง 45% ส่วนสหรัฐฯ มีถึง 76%

เครดิต BBC