6 “สัญลักษณ์” ที่เราเห็นกันเป็นประจำ แต่กลับไม่เคยรู้ที่มา

สัญลักษณ์นับว่าเป็นเครื่องมือทางภาษาอีกอันหนึ่งที่ถูกนำมาใช้สื่อความหมายแทนคำพูด ผ่านรูปร่าง อักษร หรือวัตถุ เพื่อให้มนุษย์ทุกคนเข้าใจไปในทิศทางเดียวกัน

ในปัจจุบันเราจะพบเห็นว่าได้มีการนำสัญลักษณ์ต่างๆ มากมาย เช่น เครื่องหมายจราจร โลโก้แบรนด์สินค้า หรือสัญลักษณ์สัญญาณ โดยไม่ต้องเขียนผ่านข้อความตัวอักษรให้ยืดยาว

อย่างไรก็ตามแม้ว่าเราจะเข้าใจความหมายของสัญลักษณ์เหล่านี้ แต่น้อยคนนักที่จะทราบถึงที่มาและความหมายที่แท้จริงของมัน และนี่คือการเผย 6 ที่มาและความหมายของสัญลักษณ์ที่คุณเห็นเป็นประจำ ถ้าพร้อมแล้วไปดูกันเลย

#1 สัญลักษณ์บลูทูธ

สัญลักษณ์ที่เป็นตัวแทนของยุคดิจิตอล หนึ่งในเทคโนโลยีซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อรับ-ส่งข้อมูลระหว่างเครือข่ายและอุปกรณ์แบบไร้สาย เช่น โทรศัพท์มือถือ แล็ปท็อป เป็นต้น

คำว่าบลูทูธ (Bluetooth) เกิดขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 10 จากกษัตริย์ผู้ปกครองเดนมาร์กสมัยนั้นนามว่า ฮาราลด์ บาทานด์ (Harald Blåtand) ผู้คลั่งไคล้การกินผลบลูเบอร์รีอย่างมาก ว่ากันว่าฟันซี่หนึ่งของพระองค์นั้นกลายเป็นสีน้ำเงินจนได้รับสมญานามว่า Bluetooth หรือ ฟันสีน้ำเงิน

ต่อมาได้มีการนำพยัญชนะสแกนดิเนเวีย 2 ตัวจากชื่อของกษัตริย์ ฮาราลด์ บาทานด์ (Harald Blatand) นั่นคือ Hangall หรือ Hangalaz ซึ่งเป็นตัว H และ Bajarkan หรือตัว B ในภาษาละตินมารวมกันในรูปแบบของ HB ที่ดูคล้ายฟันและมีสีน้ำเงินเหมือนกับฉายาของพระองค์ จนกลายเป็นสัญลักษณ์บลูทูธแบบที่เราได้เห็นกันทุกวันนี้

#2 สัญลักษณ์ Power On บนปุ่มเปิด-ปิด

เชื่อว่าใครหลายคนคงคุ้นเคยกับสัญลักษณ์ Power On นี้เป็นอย่างดีเพราะมันมักปรากฏอยู่ตามปุ่มอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ เช่น ปุ่มหน้าจอโทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ แต่น้อยคนนักจะรู้ถึงต้นกำเนิดของสัญลักษณ์นี้

ย้อนกลับไปในช่วงต้นปี 1940 บรรดาวิศวกรทั้งหลายยังคงใช้ระบบเลขฐานสองแทนสัญลักษณ์เฉพาะของสวิตช์ หรือการเปิด-ปิด โดยที่เลข 1 หมายถึง การเปิด และเลข 0 หมายถึง การปิด จนอีกหลายทศวรรษต่อมาได้ถูกเปลี่ยนรูปมาเป็นสัญลักษณ์เส้นวงกลมหรือ 0 และเส้นแนวตั้งหรือ 1 รวมกัน

ปุ่มที่ใช้กันทั่วโลก

#3 เครื่องหมาย Ampersand (&)

เครื่องหมาย Ampersand (&) เป็นเครื่องหมายที่ใช้เขียนแทนคำว่า and ในภาษาอังกฤษโดยมีรากดั้งเดิมมาจากคำวลีในภาษาละติน et ซึ่งแปลว่า และ ถูกคิดค้นขึ้นมาครั้งแรกในรัชสมัยของพระเจ้า Cicero แห่งโรมโบราณโดยพระราชเลขาส่วนพระองค์ชื่อว่า Trio

ซึ่งเขานั้นได้สร้างระบบตัวอักษรย่อหรือ Trionian Notes ขึ้นมา จุดประสงค์ก็เพื่อย่นระยะเวลาในการเขียน จนกระทั่งหลายร้อยปีต่อมาเครื่องหมาย Ampersand ก็ได้กลายมาเป็นที่นิยมอย่างมากในแถบยุโรปและอเมริกา จนถูกรวมเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของตัวอักษรภาษาอังกฤษ หรือ English alphabet นั่นเอง

สำหรับคำว่า Ampersand แท้จริงแล้วมาจากการหดตัวของคำวลี And per se and ที่แปลว่าและซึ่งบรรดาคุณครูมักใช้พูดหลังจากที่ให้เด็กๆ ท่อง A-Z และเมื่อกาลเวลาผ่านไป ตัวอักษร E และ T ได้ถูกหลอมรวมกันจนกลายเป็นเครื่องหมาย & อย่างที่เราใช้กันในปัจจุบัน

#4 สัญลักษณ์สันติภาพ

สัญลักษณ์สันติภาพหรือ Nuclear Disarmament ที่แปลว่า การลดอาวุธนิวเคลียร์ เกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1958 ออกแบบโดย เจอรัลด์ ฮอลทัม (Gerald Holtom) หนึ่งในศิลปินของกลุ่มผู้เคลื่อนไหวการประท้วงสงคราม ระหว่างการประท้วงเพื่อต่อต้านการใช้อาวุธนิวเคลียร์ในประเทศอังกฤษ

จากภาพจะเห็นว่าวงกลมล้อมรอบเส้นบางอย่างอยู่ 2-3 เส้น ซึ่งเส้นเหล่านั้นเป็นตัวอักษร N (Nuclear) และ D (Disarmament) ตามรูปของ Semaphore Alphabet หรือการใช้ธงส่งสัญญาณเป็นรูปตัวอักษร ซึ่งตัว N จะเป็นการถือธงเป็นรูปตัว V กลับหัว และตัว D จะใช้มือหนึ่งถือธงชี้ขึ้นฟ้า และอีกมือแนบอยู่กับลำตัว เมื่อนำอักษรสองตัวมารวมกันจึงออกมาเป็นครื่องหมายแห่งสันติภาพที่แพร่หลายและโด่งดังไปทั่วโลก

#5 สัญลักษณ์แท่งไฟขาว-แดงหน้าร้านตัดผม

หลายคนคงคุ้นตากับสัญลักษณ์หน้าร้านตัดผม (Barber Shop) ที่มีแท่งไฟหมุนๆ ลายริบบิ้นบิดเป็นเกลียวสีขาว-แดงไขว้กันไปมาจนกลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของร้านตัดผมในปัจจุบัน

สำหรับสัญลักษณ์แท่งไฟขาว-แดงนี้มีต้นกำเนิดดั้งเดิมจากต่างประเทศ เรียกว่า Barber Pole เกิดขึ้นในยุคสมัยที่ช่างตัดผมเป็นทั้งช่างและศัลยแพทย์ที่มีหน้าที่นอกเหนือจากการตัดผมก็คือการผ่าตัดและถ่ายเลือด

โดยแถบเกลียวสีแดง-ขาวสองเส้นที่พันรอบแท่งเสา Barber Pole แทนความหมายของผ้าพันแผลหรือผ้าขนหนูที่ใช้ในการซับเลือดระหว่างการผ่าตัด ก่อนจะถูกนำไปแขวนตากไว้ที่หน้าประตูข้างนอกร้าน ซึ่งเมื่อลมพัดผ่านมา ผ้าพันแผลเหล่านั้นจะปลิวหมุนไขว้ไปตามแรงอันเป็นที่มาของสัญลักษณ์นี่เอง

#6 สัญลักษณ์เขาปีศาจ

ปัจจุบันเรามักเห็นการทำสัญลักษณ์หรือทำท่าเขาปีศาจนี้ตามคอนเสิร์ตแนวเฮฟวี่เมทัลหรือแนวร็อคมาเป็นระยะเวลาหลายสิบปีแล้ว

แต่ความหมายของมันไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับลัทธิซาตานหรือภูตผีปีศาจตามชื่อของมันแต่อย่างใด ในทางตรงกันข้ามสัญลักษณ์นี้เดิมมีชื่อว่า Corna แปลว่า การปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย

โดยมีนักร้องเสียงทรงพลังอย่าง Ronnie James Dido หยิบสัญลักษณ์นี้ขึ้นมาใช้เพื่อเชื่อมโยงกับดนตรี จนกลายเป็นท่าประจำของเขาและถือเป็นท่าที่ทรงอิทธิพลอย่างมากต่อวงการเพลงร็อค